วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563

สร้างเนื้อหาของสินค้าให้น่าสนใจ ด้วย Brand Storytelling


            ในแต่ละวันผู้บริโภคมีการติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook , Youtube, Twitter , Instagram และอื่นๆ  พบเห็นเนื้อหา (Content) ทั้งบทความ วิดีโอคลิป รูปภาพต่างๆ จำนวนมากมายเกินกว่าที่ผู้บริโภคจะสามารถจดจำได้หมด  ฉะนั้นเจ้าของแบรนด์สินค้าบริการต้องให้ความสำคัญกับสร้างเนื้อหา (Content Marketing) ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของสินค้าบริการและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค รวมถึงสร้างความแตกต่างจากสินค้าบริการประเภทเดียวกันในตลาด เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เกิดจดจำแบรนด์สินค้าบริการได้ง่ายและทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าบริการจนเปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกค้าในที่สุด

  

           ซึ่ง  Marketing 101  มีบทความเกี่ยวกับหลักการเบื้องต้นในการสร้างเรื่องราวของสินค้าให้ผู้บริโภคเป้าหมายเกิดความสนใจ และนำไปสู่การติดตามแบรนด์สินค้าบริการ ที่เรียกว่าBrand Storytellingเพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับผู้ที่สนใจอยากทำ Brand Storytelling มาแบ่งปันกันนะครับ ;D 


Brand Storytelling คืออะไร

    Brand Storytelling คือรูปแบบ เนื้อหา (Content)  ที่ให้ความสำคัญกับการสร้าง เรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการ(Brand Storytelling)   ทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจและสามารถดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วม (Emotional Connection) กับเนื้อหาที่มีเรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการนั้นๆและยังทำให้ผู้บริโภคเกิดเชื่อมั่นไว้วางใจและจดจำแบรนด์สินค้าบริการได้ดี รวมถึงทำให้แบรนด์สินค้าบริการมีความชัดเจนและสร้างความแตกต่างจากแบรนด์สินค้าบริการอื่นๆในประเภทเดียวกัน และเนื้อหาที่สื่อสารออกไปนั้นยังก่อให้เกิดคุณค่า (Value) กับแบรนด์สินค้าบริการอีกด้วย


ลักการเบื้องต้นสำหรับการทำ Brand Storytelling


1. ต้องรู้จักแบรนด์สินค้าบริการของตนเอง 

         เราต้องมีความเข้าใจและรู้ว่าแบรนด์สินค้าเราคืออะไร จุดเด่นของสินค้าบริการคืออะไร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหรือช่วยผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายแก้ปัญหาได้อย่างไร มีความแตกต่างจากคู่แข่งเจ้าอื่นๆในตลาดอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนที่เจ้าของแบรนด์สินค้าบริการจะต้องทำการสื่อสารไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้เกิดการจดจำได้และต้องสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์สินค้าด้วย


 2.นำเสนอในเรื่อง ความเชื่อของแบรนด์สินค้า 

       ต้องพยายามนำเสนอแนวคิด หลักปฎิบัติของแบรนด์ ความเชื่อมั่นของแบรนด์ว่าแบรนด์เรามีความเชื่อมั่นอย่างไร กับสิ่งรอบๆตัว   สื่อสารผ่านเรื่องราวประสบการณ์ที่มีคุณค่าของแบรนด์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายเพื่อให้เกิดการรับรู้และเข้าใจถึงตัวตนของแบรนด์สินค้าบริการของเรา  


3.ต้องเข้าใจเส้นทางปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์ของผู้บริโภคกลุุ่มเป้าหมายที่มีต่อแบรนด์สินค้าบริการ

        นอกจากเจ้าของแบรนด์สินค้าบริการจะต้องรู้จักกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าว่าเค้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบไหน มีความเชื่อแบบไหน และสิ่งที่เค้าต้องการจากแบรนด์สินค้าบริการคืออะไร  ยังต้องมีความเข้าใจในเส้นทางปฏิสัมพันธ์  (Customer Journey) ตั้งแต่การรับรู้ การค้นหาข้อมูล การตัดสินใจซื้อ รวมถึงการซื้อซ้ำ เพราะจะทำให้เจ้าของแบรนด์สินค้าบริการสามารถวางแผนการสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์และคุณค่าของแบรนด์ ให้สอดคล้องกับ Customer journey อย่างถูกช่วงเวลาถูกวิธีและชัดเจนเพื่อดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายให้เกิดความสนใจและนำสู่ความประทับใจและติดตามเรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการจนกลายเป็นลูกค้าในที่สุด 


4.สร้างการเชื่อมต่ออารมณ์ความรู้สึกระหว่างแบรนด์กับลูกค้า 

            สิ่งสำคัญในการสร้าง Brand Storytelling คือ การเชื่อมโยง เรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการที่เราต้องการจะสื่อสารบอกเล่าไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย กับ สิ่งที่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายอยากฟังจากเรา  โดยที่เจ้าของแบรนด์สินค้าบริการจะต้องบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์เกี่ยวกับสิ่งที่เรายึดมั่นและต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้เกิดการเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วม (Emotional Connection)  และเกิดการคล้อยตามและติดตามเรื่องราวของแบรนด์สินค้าและบริการนั้น เช่น เรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการที่ทำให้เกิดภาพของความสุขจากการหัวเราะของคนในครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน หรือเรื่องราวของแบรนด์ที่สร้างจากประสบการณ์การสู้ชีวิตของคนที่มีลักษณะเดียวกันกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าสะเทือนอารมณ์โดยที่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายสามารถรับรู้ได้และเกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วมและติดตามเรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการนั้นๆ เป็นต้น  


        ทั้ง 4 ข้อที่ได้กล่าวมานี้ ถือเป็นหลักการเบื้องต้นในการทำ Brand Storytelling เพื่อทำให้แบรนด์สินค้าบริการ มีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีเอกลักษณ์ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงเรื่องราวบอกเล่าของแบรนด์สินค้าบริการไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับแบรนด์สินค้าบริการทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและเกิดการจดจำได้นำไปสู่การติดตามแบรนด์สินค้าบริการในที่สุด นอกจากจะทำให้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายกลายเป็นลูกค้าของเราจากการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์สินค้าบริการแล้วยังสามารถสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์สินค้าบริการอีกด้วย ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ;)


                                             #การตลาด 101


..................................

ติดตามประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจหรือ เสนอแนะ ติชม ได้ที่ 

Facebook https://www.facebook.com/Marketing101th 

Blockdit:https://www.blockdit.com/marketing101 

email : mktg_101@hotmail.com


 

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2563

4 เคล็ดลับ กระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาล


ใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลคริสต์มาส หรือวันสิ้นปี ร่วมถึงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งช่วงเทศกาลต่างๆนี้ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าจะนิยมจับจ่ายใช้สอยในการซื้อสินค้าเพื่อเตรียมไว้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ หรือเป็นของขวัญให้กับผู้ใหญ่ และบรรดาห้างร้านก็มักจะนิยมจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้ากันมากขึ้นอีกด้วยเมื่อเทียบกับช่วงการขายปกติ ช่วงเทศกาลจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ห้างหรือผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  


การตลาด101 จึงมี 4 เคล็บลับดีๆ เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายที่ดูสนุกและมีสีสันในช่วงเทศกาลมาฝากกันดังนี้ครับ ^^


1.ตกแต่งร้านค้าและช่องทางการสื่อสารออนไลน์ให้เข้ากับช่วงเทศกาล

 เช่น บริเวณหน้าร้านค้า ทางเข้าร้านค้า และที่ชั้นวางสินค้าต่างๆ ควรมีการตกแต่งประดับด้วยภาพตามเทศกาลนั้นๆ รวมถึงการช่องทางสื่อสารออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Website Facebook ของทางห้างร้านเองก็ควรออกแบบกราฟฟิกภาพต่างๆ ให้เป็นแนวทางเดียวกัน ซึ่งหากผู้ประกอบการร้านค้ามีการตกแต่งร้านค้าที่ดีก็จะสามารถเพิ่มความน่าสนใจและยังเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาแวะะชมสินค้าหรือสั่งซื้อสินค้าได้อีกด้วย 


2. โปรโมชั่นหรือบริการพิเศษ กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า

ในช่วงเทศกาลนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่จะมีจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อเตรียมไว้สำหรับงานเฉลิมฉลอง สังสรรค์กับคนในครอบครัว ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง รวมถึงการหาของขวัญสำหรับผู้ใหญ่ที่เคารพ ดังนั้นผู้ประกอบการร้านค้า จึงควรมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า ได้มากขึ้น เช่น ซื้อ 3 ชิ้นถูกกว่า หรือมีบริการพิเศษสำหรับการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลนั้นๆ เช่น การห่อบรรจุเป็นของขวัญฟรี หรือเมื่อซื้อสินค้าครบ 2,000 บาท มีบริการจัดส่งถึงบ้านฟรี เฉพาะวันคริสต์มาสนี้เท่านั้น เป็นต้น


3. มีสินค้าพิเศษเป็นสินค้าแนะนำในช่วงเทศกาล

ในช่วงเทศกาลต่างๆ ทางห้างร้านควรมีสินค้าพิเศษในช่วงเทศกาลหรือเป็นสินค้าที่ขายดี เป็นสินค้าแนะนำของทางห้างร้าน เพื่อกระตุ้นความสนใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาที่ร้านค้าหรือเยี่ยมชม website หากยิ่งเป็นช่วงเทศกาลต่างๆด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้น และส่งผลให้ยอดขายของทางห้างร้านสูงขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญอย่างลืมเรื่องของการสต๊อกสินค้านั้นๆไว้ให้เพียงพอต่อการขายด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เสียโอกาสในการขายได้ 


4. พนักงานมีส่วนสำคัญในการให้บริการ 

นอกจาการตกแต่งร้านค้าและการมีโปรโมชั่นพิเศษต่างๆเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการซื้อสินค้าแล้ว พนักงานก็มีส่วนสำคัญในการให้บริการลูกค้าและสรา้งยอดขายในช่วงเทศกาลด้วย เช่น การแต่งกายของพนักงานให้เข้ากับเทศกาล การยิ้มแย้มและกล่าวคำทักทายลูกค้าที่สุภาพ รวมถึงการแนะนำสินค้าหรือโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเทศกาลให้กับลูกค้าก็เป็นถือสิ่งสำคัญในการช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าและเป็นการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอีกด้วย


ทางการตลาด101 จึงขอฝาก 4 เคล็ดลับง่ายๆ ในการกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลให้กับห้างร้าน และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการห้างร้านหรือผู้ที่สนใจ ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ;) 


                                          #การตลาด101 


......................

ติดตามสรุป ประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจหรือเสนอแนะ ติชม ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/Marketing101th
Blockdit :https://www.blockdit.com/marketing101
e mail : mktg_101@hotmail.com


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

6 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้ลูกค้า "หลงรัก" แบรนด์ของคุณ


     ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งในยุคดิจิตัล ทำให้หลายแบรนด์ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงพฤติกรรมของลูกค้านั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องมีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Insights) มากขึ้น ในการทำการตลาดในยุคนี้จึงควรให้ความสำคัญไปที่การทำอย่างไรให้แบรนด์เป็นที่รักของลูกค้า (Brand Love) และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าคงอยู่กับเราต่อไป

     ทางการตลาด 101 ก็มี 6 เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้ลูกค้าหลงรักแบรนด์ของคุณ(Brand Love) มาแบ่งปันกัน มีอะไรบ้างมาดูกันเลยครับ ;)  


1.ต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้า (Consumer pain point)

     เราต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้าว่า  ปัญหาของลูกค้าที่ลูกค้าคือเรื่องอะไร ?? ลูกค้าไม่ชอบอะไร?? เช่น การหาซื้อสินค้าไม่ได้ พนักงานบริการไม่ดี  ซึ่งเราต้องจับปัญหาของลูกค้าให้ได้และสินค้าของเราสามารถช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหรือสร้างคุณค่าให้กับเค้าได้อย่างไรบ้าง


2.แบรนด์ต้องมีอัตลักษณ์และบุคลิกที่ชัดเจน (Brand Identity & Brand Personality

     ต้องพยายามหาจุดแข็งที่โดดเด่นและสามารถสร้างความแตกต่าง (Different) จากสินค้าอื่นๆ เพื่อสามารถสร้างให้เกิดการจดจำแก่ลูกค้าได้โดยง่ายรวมถึงต้องมีบุคลิกของผลิตภัณฑ์ ( Brand Personality) ที่สอดคล้องและโดนใจกลุ่มเป้าหมายอย่างที่สุด 


3.สร้างความเชื่อมั่นและความมุ่งหวังของแบรนด์ (Brand Purpose)    

     ต้องสร้างความเชื่อมั่นและความมุ่งหวัง (Brand Purpose) และสามารถสะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ใช้สินค้าหรือแบรนด์นั้นๆ โดยการส่งมอบประโยชน์และคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีของสินค้าหรือบริการทั้งต่อตัวลูกค้าเองเป็นการเชื่อมต่อด้านอารมณ์ความรู้สึกระหว่างแบรนด์กับลูกค้า และนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นกับกลุ่มลูกค้า


4.การสื่อสารและความต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ (Brand Communication) 

     การสื่อสารทางการตลาดต้องมีเนื้อหาที่จะสื่อสารที่ชัดเจน รวมถึงต้องเข้าใจเส้นทางการตัดสินใจของลูกค้า (Customer journey) และการเลือกรูปแบบของสื่อ (Platform)ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญคือ ความต่อเนื่องของการสื่อสารต้องเป็นการสื่อสารที่เป็นเรื่องเดียวกันและสร้างให้เกิดการพบเห็นสม่ำเสมอ


5.รับฟังและตอบสนองความคิดเห็นของลูกค้าสม่ำเสมอ (Consumer Feedback) 

     "ลูกค้า ” คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ การได้รับฟังเสียงของลูกค้าและตอบสนองความคิดเห็นของลูกค้าโดยเร็วและสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะนั่นคือการทำให้ลูกค้าเกิดความพึ่งพอใจและเป็นการสร้างความเชื่อใจกับลูกค้าจนเกิดเป็นความรักในแบรนด์ได้


6.มีการประเมินผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Evaluating and Developing  Performance)

     ควรมีการวัดผลของกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องและแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากสุดและทำให้เกิดความพอใจจนเกิดเป็นความรักในแบรนด์ในที่สุด


     สุดท้ายนี้การจะทำให้แบรนด์เป็นที่รักของลูกค้าได้นั้น ต้องมั่นใจว่าสินค้าบริการของเราต้องมีคุณภาพที่ดีและสร้างความแตกต่างจากสินค้าหรือบริการอื่นๆในตลาดได้ เมื่อสินค้ามีคุณภาพที่ดีแล้วผู้ใช้ได้ทดลองใช้ก็จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำและเกิดการบอกต่อเพราะหากสินค้าหรือบริการของเรายังไม่ดี ยังไม่มีคุณภาพในเกณฑ์ที่ลูกค้ายอมรับได้นั้น ก็ยากที่จะทำให้แบรนด์หรือสินค้าบริการเป็นที่รักของลูกค้าได้

                                               

                                                           #การตลาด101 


...................................

ติดตามสรุป ประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจหรือเสนอแนะ ติชม ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/Marketing101th
e mail : mktg_101@hotmail.com


วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เมื่อรู้สึก "หมดไฟในการทำงาน" ( Burnout Syndrome) จะทำอย่างไรดี?

ในการทำงาน แน่นอนว่าในบางครั้ง เมื่อเราทำงานเดิมๆ ซ้ำ ๆ จนเกิดความรู้สึกเคยชิน ก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึก  “เบื่องาน” หรือ “หมดไฟ” ได้

  อาการหมดไฟในการทำงาน" (Burnout Syndrome) มักเกิดขึ้นเมื่อเราทำงานอย่างหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้พักเป็นเวลานานๆ เป็นอาการที่เราไม่อยากทำอะไร ไม่มีแรงดึงดูด หรือแรงจูงใจ หากเกิดอาการเช่นนี้บ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อการทำงาน รวมถึงสุขภาพกายสุขภาพจิตของเราอีกด้วย ซึ่งวันนี้การตลาด101 มี 7 วิธีดีๆสำหรับการรับมือภาวะหมดไฟในการทำงานมาแบ่งปันทุกคน มีอะไรบ้างดูกันเลยครับ :)


1.ปล่อยว่างจากงานสักพัก ลองทำกิจกรรมที่ชอบสักนิด

  ลองพักเบรคจากงานที่ทำสักพัก แล้วไปทำกิจกรรมที่ชอบสักนิด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เดินเล่น แล้วค่อยกลับไปเริ่มทำงานใหม่ จะช่วยให้เรามีแรงต่อสู้กับเรื่องงานและอื่นๆ ในชีวิตต่อไป


2. ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานบ้าง  

  การอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเดิมๆ ที่เดิมๆ อาจทำให้เราคิดอะไรไม่ออก ให้ลองปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ในการทำงานให้กับตัวเองบ้าง เช่น ไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ หรือสถานที่ใหม่ๆดูบ้าง ก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้



3. พบปะเพื่อนฝูง พูดคุย บอกเล่ากับคนสนิทฟัง

  การได้พบปะเพื่อนๆ ได้มีการระบายหรือบอกเล่าปัญหาให้คนที่เราสนิท ก็จะช่วยให้จิตใจของเรารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราอาจจะได้ทางออกจากมุมมองหรือข้อแนะนำจากคนที่เราสนิทอีกด้วย


4.รับประทานอาหารที่ชื่นชอบและพักผ่อนให้เพียงพอ

  หากช่วงที่เรารู้สึกหมดไฟ เบื่อๆ ร่างกายของคุณอาจจะเข้าสู่โหมดอยากพัก ซึ่งก็อาจจะทำให้จิตใจของเราไม่แข็งแรงไปด้วย ฉะนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่ตนเองชื่นชอบ ก็จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น แต่ก็ควรเป็นอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยนะ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6 – 8 ชั่วโมง ก็จะส่งผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจอีกด้วย


5. ออกกำลังกายกันเถอะ

  การออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้บริหารแล้ว สามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ รวมถึงถึงขั้นช่วยบรรเทาโรคซึมเศร้าได้เลยด้วย  สุดท้ายยังช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น มีแรงเติมไฟสู้กับวันใหม่ต่อไป


6. เช็คลิสของตัวเราเองอย่าสม่ำสมอ

  ช่วงที่เรารู้สึก หมดไฟ“ เบื่อๆ ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากรับรู้เรื่องงาน และไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน เราควรมีเช็คลิสให้ตัวเอง คอยสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่าเราอยู่จุดไหนแล้วเป้าหมายของเราคืออะไร เพื่อเตือนตัวเองและถือเป็นกำลังใจกับตัวเอง และทำให้เรากลับมาสู่การเริ่มต้นที่จะสู้ใหม่โดยมีจุดหมายไม่ไร้ทิศทาง


7.เปิดโลกให้ตัวเอง ออกไปเจอสถานที่ใหม่ ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

  การหาโอกาสให้ตัวเองได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ ที่เราเองไม่เคยไป หรือไปสัมผัสธรรมชาติดูบ้าง ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้  หรืออาจจะลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ช่วยให้เราได้ผ่อนคลายคลาย เพราะเราเริ่มใหม่จากศูนย์ด้วยความกระหายพร้อมจะเรียนรู้ ไม่กดดันตัวเอง หรือคาดหวังต่อตัวเองมากเกินไป แล้วยังอาจทำให้เราได้เจอสิ่งที่ชอบใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งการค้นพบตัวเองมากขึ้นเช่นกัน

 

  ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเอง และแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเบื้องต้นดังกล่าว อาจช่วยให้เราสบายใจขึ้นและมีแรงกลับมาสู้ใหม่นะครับ

 


                                                                                   #การตลาด101


...................................

ติดตามสรุป ประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่

🌎 Facebook: https://www.facebook.com/Marketing101th

 

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

3 ขั้นตอนสุดเจ๋ง!! ที่ทำให้ลูกน้องคิดเองเป็น



             ชีวิตจริงของคนที่เป็น " หัวหน้า " ต้องเจอเป็นประจำ คือ ต้องคอยดูแลงานภาพรวม และต้องคอยจี้งานลูกน้องเป็นประจำ ทำถูกต้องตามโจทย์ที่เราให้บ้าง ไม่ถูกบ้างก็ต้องเรียกมาพูดคุยเพื่อช่วยกันหาทางแก้ปัญหากันไปเพื่อให้งานสามารถเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง  บางทีก็มานั่งคิดหาทางว่า ..


" ทำอย่างไง ลูกน้องถึงจะคิดเองเป็น ต้องคอยให้สอนให้บอกอยู่ตลอด " 


" ลูกน้องทำงานออกมาไม่ได้ตามที่คาดหวัง งั้นเอามาทำดีกว่า ไม่สอนละ เสียเวลา เดี๋ยวออกมาไม่ดีอีก คราวนี้จะพาลเละกันหมด "


" จะต้องกระตุ้นลูกน้องอย่างไงดีนะ ให้เค้ามีไฟและอยากพัฒนาด้วยตัวเค้าเอง  " 


             Marketing 101 ได้สรุป 3 ขั้นตอนสุดเจ๋ง สำหรับหัวหน้างานที่ทำให้ "ลูกน้องคิดเองเป็น" และเติบโตไปด้วยกัน มาแบ่งปันสำหรับผู้ที่เป็นหัวหน้างาน , เจ้าของธุรกิจ หรือผู้สนใจในแง่ของการบริหารทีมหรือดูแลลูกน้อง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยยยย...



       1.บอกลูกน้องเสมอว่า คุณกำลังคิดอะไรอยู่

          โดยบอกลูกน้องของคุณว่า คุณอยากได้งานอะไร เพื่ออะไร  เช่น หากคุณต้องการรายงานยอดขาย เพื่อใช้ในการประมาณการยอดขายอีก 6 เดือนข้างหน้า  คุณอาจจะบอกเค้าว่า ตอนนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว พี่ต้องการรายงานยอดขายเพื่อเตรียมจัดทำแผนงานประมาณยอดขายสำหรับ 6 เดือนข้างหน้า เราจะทำอย่างไรได้บ้าง แล้วลองให้ลูกน้องของคุณทำรายงานยอดขายมานำเสนอ และลองพิจารณาดูว่ารายงานนั้นตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่ ควรปรับปรุงหรือไม่ อย่างไร เป็นต้น  


         
       2.ฟังความคิดของลูกน้องและดูเค้าว่าจะทำอย่างไรบ้าง 

          หลังจากที่คุณได้ Feedback งานของลูกน้องคุณไปแล้ว ขั้นตอนที่ 2 นี้ให้ลองดูปฎิกิริยาของลูกน้องและลองให้เค้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานที่เค้านำเสนอดูว่าเค้ามีความคิดเห็นอย่างไร ทำไมถึงนำเสนองานลักษณะนี้กับคุณ ในขณะเดียวกันคุณซึ่งเป็นหัวหน้าก็ต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องด้วยเช่นกัน หากมีสิ่งที่ต้องแก้ไขหรือปรับปรุงให้ลองถามลูกน้องของคุณดูว่าเค้าจะมีแนวคิดหรือมีวิธีการจัดการปัญหาอย่างไร และคุณเองก็ต้องหาวิธีตบๆให้แนวคิดหรือการปฎิบัติงานของลูกน้องของคุณเข้ามาในขอบเขตที่คุณได้วางไว้ด้วย  



     3. หากลูกน้องของคุณทำผิดพลาด ก็ให้คิดว่าคือบทเรียน

         ถ้าสิ่งที่ลูกน้องของคุณทำออกมาแล้วเกิดความผิดพลาด ในฐานะที่คุณเป็นหัวหน้างานก็ต้องทำใจและให้เป็นบทเรียนทั้งคุณและลูกน้องของคุณด้วย เพื่อให้เค้าได้เกิดการเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันคุณและเค้าก็ต้องหาแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในครั้งถัดไป ซึ่งถือเป็นการพัฒนาแนวคิดและมุมมองในการปฏิบัติงานของลูกน้องของคุณอีกด้วย หากในงานครั้งหน้าลูกน้องของคุณได้รับมอบหมายและสามารถนำเสนอแผนงานหรือไอเดียต่างๆ ซึ่งได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาจนเค้าสามารถทำได้สำเร็จ ก็ถือว่าเค้าเริ่มที่จะคิดเองและสามารถทำงานได้โดยที่ไม่ต้องรอคำสั่งจากคุณอย่างเดียวแล้วล่ะครับ ;)


                                                   
                                                                         #การตลาด101


...................................

ติดตามสรุป ประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่

🌎 Facebook: https://www.facebook.com/Marketing101th

 







วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

กระแสน้ำวิตามินแรง!! พาเหรดเข้าตลาดโค้งสุดท้ายของปี รับเทรนด์รักสุขภาพ

               ปัจจุบัน เทรนด์รักสุขภาพปลุกกระแส “น้ำดื่มผสมวิตามิน” หรือ  " Water Plus"  เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ด้วยลักษณะ-ของน้ำดื่มบรรจุขวดมีความใสเหมือนน้ำเปล่า ไม่มีสี ผสมวิตามินบางยี่ห้อแต่งกลิ่นเพิ่มเติมเพื่อสร้างความสนใจและอรรถรสในการดื่มให้กับผู้บริโภค จนเกิดเป็นกระแสบอกต่อและมีการสื่อสารทางการตลาดทำให้ขายดิบขายดีขึ้นมา ทำให้มูลค่าตลาดน้ำดิ่มผสมวิตามินมีการเติบโตอย่างมาก ซึ่งที่มาสาเหตุมาจากอะไรบ้าง ได้มีการรวบรวมประเด็นไว้ดังนี้ 

1. กระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมารวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลของ Kantar Worldpanel มีการอธิบายถึงพฤติกรรมการบริโภคในไทย พบว่า คนไทยมีแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เรื่องดื่มหวานน้อยและไม่หวานเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 5.1 ครั้งต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 4.97 ครั้งต่อปี

2. สถานการณ์โควิด-19 ช่วงต้นปี 2563 นี้เป็นปัจจัยที่เร่งกระตุ้นให้ผู้บริโภคตื่นตัวและปรับตัวในการใช้ชีวิต รวมถึงการดูแลสุขภาพทั้งเรื่องของการออกกำลังกาย การเลือกซื้ออาหารเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานมากขึ้น  

3. การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากค่าความหวาน  ที่ทำผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้นหาทางออกสินค้าใหม่หรือปรับสูตรใหม่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าและตอบโจทย์กระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคด้วย เช่น การออกสูตรน้ำตาลน้อย หรือไม่มีน้ำตาล  เป็นต้น  

4. ภาพรวมของมูลค่าตลาดน่้ำดื่มในประเทศไทย (ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มค-ส ค 63) 

   - มูลค่าตลาดน้ำดื่ม 18,956 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลง -6.3%

   - มูลค่าตลาดน้ำแร่ 3,850 ล้านบาท มีอัตรการเติบโตลดลง -24% 

    -มูลค่าตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน 1,250 ล้านบาท  มีอัตราการเติบโต +75% 

     ถึงแม้จะมีมูลค่าตลาดที่สูงนักเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดน้ำดิ่มและน้ำแร่ แต่มีการเติบโตที่สวนกระแสกับมูลค่าตลาดน้ำดื่มและน้ำแร่ที่มีอัตราการเติบโตลดลง และระยะแรกนั้นมีผู้เล่นในตลาดนี้ไม่มากนัก

           
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเป็นที่สนใจและดึงดูดให้ผู้ประกอบการหลายรายพร้อมตบเท้าก้าวเข้ามาเล่นในตลาดนี้ 


ปัจุบันผู้เล่นในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน มีใครบ้าง???

     
     ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ของ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ บริษัทในเครือของ โรงพยาบาลยันฮี ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินรายแรกๆในเมืองไทย เกิดจากแนวคิดของแพทย์ที่การต้องการดูแลผู้ป่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรง และรูปทรงของขวดที่มีเอกลักษณ์สะดวกต่อการพกพาและสร้างการจดจำได้ง่าย ในขนาด 460 มิลลิลิตร ราคา 17 บาท  มี 2 สูตร คือ ช่วงแรกออก วิตามินบี 3 6 และ 12 ผสมเก๊กฮวยสกัด  ด้วยรสชาติและการแนะนำจากลูกค้าสู่ลูกค้าจนทำให้เกิดกระแสการบอกต่อและได้รับกระแสตอบรับที่ดี และตามด้วย วิตามินซี 200% ผสมเฉาก๊วยสกัด   

    
  B'lue (บลู) ของบริษัทร่วมทุนระหว่างเซปเป้และดานอน เพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในไทย ที่มีน้ำดื่มผสมวิตามินบีที่มีรสชาติและมีความหลากหลายของรสชาติต่างๆเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค  ถึง 5 รสชาติ ได้แก่ พีช แพร์ คาลาแมนซี่ ลิ้นจี่ และแคกตัส ในขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 25 บาท 

  

      วิดอะเดย์ วิตามินวอเตอร์  ของเจอเนอรัล เบฟเวอเรจ จำกัด ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของวิตามินจากประเทศอังกฤษ   มี 3 สูตรได้แก่ วิอะเดย์วิตามินบีรวม  และ วิดอะเดย์ วิตามินซี 200% กลิ่นเลมอน และกลิ่นพีช ในขนาด 480 มิลลิลิตร ราคา 17 บาท

     พีเอช พลัส 8.5 น้ำด่างที่มีการผสมวิตามิน B และ อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ C 200 พลัส E  ของ อิชิตัน ที่เพิ่งจะเปิดตัวไป ซึ่งน้ำด่างพีเอช พลัส 8.5 นอกจากชูความเป็นน้ำด่างแล้วยังมีส่วนผสมของวิตามินบีที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย และอิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ C200 พลัส E ก็เป็นการนำเอาวิตามินซี และ อี มารวมกันในขวดเดียวเพื่อสรา้งคุณค่าเพิ่มในการตอบโจทย์กาบริโภคของลูกค้า  ซึ่งทั้ง 2 สูตร มีขนาด 550 มิลลิลิตร ราคา 20 บาท และยังมีขนาดเล็ก ที่สำหรับจำหน่ายในช่องทางร้านค้าโชห่วยอีกด้วย ทางคุณตันได้ตั้งใจกลับมาเริ่มรุกตลาดเครื่องดื่มรักสุขภาพอย่างจริงจัง พร้อมกับให้มุมมองของตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินนี้มีลักษณะเหมือนกับตลาดชาเขียวในช่วงเริ่มต้น 


          ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 นอกจากผู้เล่นหลักๆ ทั้ง 4 รายแล้ว ยังมีน้ำดื่มผสมวิตามินแบรนด์อื่นๆ ที่จะเข้ามาสร้างความคึกคักให้กับตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินนี้อีกหลายราย  ได้แก่

     อควาวิทซ์ บาย เจเล่ วิตามิน มิเนอรัล วอเตอร์ เป็นแบรนด์น้ำดื่มผสมวิตามินหน้าใหม่ แบรนด์ใต้ร่มเงาของ “เจเล่” ของบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)  ชูจุดเด่นความเป็นน้ำแร่ผสมวิตามินบี 200% แร่ธาตุ 7 ชนิด และค่าความเป็นด่าง หรือ ph 7++ ในขนาด 400 มิลลิลิตร ราคา 15 บาท

   เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์  จากค่าย  "สิงห์ " ที่โดดลงมาเล่นในตลาด น้ำดื่มผสมวิตามิน ซึ่ง มีส่วนผสมทั้งวิตามินซี 200% และ วิตามินบี 1 3 5 6 และ 12  และเป็นวิตามินที่นำเข้าจากประเทศเยอรมัน ในขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 17 บาท ต่สินค้าตัวนี้ ทางสิงห์ได้จ้างผลิตผ่านบริษัท โตโย ไซกัน(ประเทศไทยจำกัด ผู้ผลิตรายใหญ่ในวงการเครื่องดื่ม โดยการผลิตอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อการันตีคุณภาพและชื่อชั้นของแบรนด์


ดี อาร์ ดริ๊งค์ วิตามินวอเตอร์  อีกหนึ่งรายน้องใหม่ คือ ดี อาร์ ดริ๊งค์ วิตามิน วอเตอร์ ขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 18 บาท  น้ำดื่มผสมวิตามินซีสูง 200% และมีวิตามินบีต่างๆ จุดเด่นคือบรรจุภัณฑ์สีฟ้าสะดุดตา มีฝาสำหรับคล้องนิ้วคล้ายกับน้ำดื่มผสมวิตามินเจ้าต้นตำรับ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ 


            จากตลาด Blue Ocean ที่เคยมีผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย ปัจจุบันได้กลายเป็นตลาด Red Ocean เป็นที่เรียบร้อยแล้วและยังคงดึงดูดให้ผู้ประกอบการเจ้าอื่นๆเข้ามาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนาทีนี้ผู้เล่นในตลาดน้ำดิ่มผสมวิตามิน คงต้องเตรียมปรับกลยุทธ์และงัดกลยุทธ์ต่างๆนาๆ เพื่อป้องกันและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด และช่วงชิงลูกค้าเพื่อให้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด คงต้องออกแรงกันอย่างหนักหน่วงในช่วงโค้งสุดท้ายและต่อไปในปี 2564 อีกด้วย  

         ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินมูลค่าตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินไว้เมื่อเดือน กย 63 ว่าในปีนี้คาดการณ์ตลาดเครื่องดื่มผสมวิตามินในไทยจะมีมูลค่าประมาณ 5,500 ล้านบาท และในปี 2564 น่าจะขยับขึ้นไปที่ 6,000 - 7,000 ล้านบาท

        

                                                                                               

                                                                                                     #การตลาด101




ที่มา : การตลาด101 รวบรวม

.........................................

ติดตามสรุป ประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่

🌎 Facebook: https://www.facebook.com/Marketing101th