ในปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นได้ว่ามีหลายบริษัท
ได้นำกลยุทธ์ Collaboration Marketing
หรือเรียกสั้นๆ ว่าการ Collab มาใช้ในทางธุรกิจกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันเพื่อออกผลิตภัณฑ์ใหม่
หรือการทำผลิตภัณฑ์ แบบ Limited Edition หรือการออกแคมเปญทางการตลาดเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายระยะสั้นหรือเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า
เป็นต้น ซึ่งการทำ Collaboration Marketing นี้นอกจากจะเป็นแคมเปญทางการตลาดที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่จับมือกันสร้างสรรค์งานใหม่ๆจนเป็นกระแสความสนใจจากกลุ่มผู้ที่สนใจทั่วไปและกลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ที่ Collab กันทำให้เกิดการขยายฐานของลูกค้าและยังสามารถสร้างยอดขายรวมถึงภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์สินค้าหรือบริการของทั้ง
2 แบรนด์กันอีกด้วย
เข้าใจกลยุทธ์ Collaboration Marketing
กลยุทธ์ Collaboration Marketing คือความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ที่สร้างสรรค์งานใหม่ๆในตลาดร่วมกันสามารถทำได้ทั้งกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน
หรือต่างประเภทอุตสาหกรรมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการร่วมมือกันของทั้ง 2 แบรนด์ต้องมีความชัดเจน ว่าต้องการทำเพื่ออะไร และอยากให้เกิดอะไร นอกจากนี้พันธมิตรที่จะทำการ
Collab ร่วมกันก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจและมีเป้าหมายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละแบรนด์นั้นจะต้องมีความเข้ากันได้ของแต่ละแบรนด์ด้วย
ก็จะทำให้การทำงานร่วมกันของทาง 2 แบรนด์ง่ายยิ่งขึ้นและได้ผลลัพธ์ของมาดีตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
Collaboration
Marketing ได้ประโยชน์อย่างไร
1.สร้างการรับรู้ในวงกว้างได้ดี (Brand awareness)
จะเห็นได้ว่าหลายแบรนด์ที่ทำการ Collab กันในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ที่สนใจและลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ได้เป็นอย่างดี และสามารถสร้างกระแสของตลาดและทำให้เกิดกการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นอีกด้วย
2.ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น (Customer Extension)
การ Collab ของทั้ง
2 แบรนด์ ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าจากแบรนด์หนึ่งไปอีกแบรนด์ หรือเป็นการแลกเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าระหว่างแบรนด์
และดึงดูดกลุ่มผู้ที่มีสนใจในการแบรนด์สินค้าบริการที่ Collab กัน ทำให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ใหญ่ขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าจะนำมาซึ่งยอดขายเช่นกัน
3.ทำให้แบรนด์ดูทันสมัยขึ้น (Brand Image)
การ Collab เป็นการทำให้แบรนด์ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขี้นแบรนด์ไหนที่ที่มีภาพลักษณ์ที่มีมานานต้องการปรับตัวเองให้ดูทันสมัยหรือสร้างความแตกต่าง การ x กับแบรนด์ไหนสักแบรนด์นับว่าเป็นการสร้างความแตกต่างที่มีมาแต่เดิมได้เป็นอย่างดี หรือ ก็คือการทำให้ Brand Image มีการเปลี่ยนไปนั่นเอง
4. สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค
(Customer Experience)
การ Collab นอกจากจะเป็นการสร้างความน่าสนใจและการขยายกลุ่มลูกค้าในวงกว้างแล้วยังเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีให้กับผู้บริโภคอีกด้วย เช่น ได้รูปแบบของสินค้าหรือบริการใหม่ๆ หรือเมนูรสชาติอาหารหรือเครื่องดื่มใหม่ๆ ที่ทำให้ไม่จำเจน่าเบื่อ เป็นต้น
1.Kbank x Blackpink
เป็นความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ที่สร้างสรรค์งานใหม่ๆ ในตลาดร่วมกันต่างประเภทอุตสาหกรรมกัน แคมเปญของธนาคารกสิกรไทยที่ต้องการขยายฐานจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยการดังเอากลุ่มนักร้อง KPOP ระดับโลกอย่าง Blackpink มาทำการ Collab โดยการออกผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต สามารถสรา้งความสนใจให้กับเหล่าแฟนคลับของ Blackpink ได้เป็นอย่างดี โดยแคมเปญนี้ติดยอดกระแสนิยมอันดับหนึ่งใน Twitter ทันทีทีมีการปล่อยออกมา
2. Moo xNanyang Sneakers รองเท้าผ้าใบนักเรียนสู่สตรีมแฟชั่น
เป็นการจับมือร่วมกันข้ามประเภทอุตสาหกรรม โดยแบรนด์ "Moo" เป็นแบรนด์ของดีไซน์เนอร์แนวหน้าของเมืองไทย คุณหมู ASAVA ร่วมมือกับรองเท้าผ้าใบในตำนาน "นันยาง" ในการสร้างโปรเจกต์ Moo x Nanyang Sneakers โดยควมร่วมมือนี้ทำให้ได้เห็นการนำรองเท้านันยางมาปรับโฉม ปรับสีสันให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้นและเป็นการแตกไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์นอกเหนือจากการเป็นรองเท้านักเรียน ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้นอีกด้วย
3. เวเฟอร์ช็อกโกแลตคิทแคท x ไอศกรีมเนสเล่ ที่คอไอศกรีมห้ามพลาดเป็นการจับมือระหว่างแบรนด์ คิทแคท เวเฟอร์ช็อกโกแลตที่หลายๆคนชื่นชอบในรสชาติที่ถูกปากคนทั่วโลกกับไอศกรีมเนสเล่ ซึ่งทางบริษัทเนสเล่ ในประเทศ ออสเตรเลีย ได้เปิดตัวความหอมหวานอันแสนเย็นฉ่ำกับ “คิทแคท ไอศครีม สติ๊ก” ที่นำเอาจุดเด่นความอร่อยทุกอย่างของเวเฟอร์ช็อกโกแลตและไอศกรีมวลิลาจากเนสเล่ ซึ่งให้รสชาติที่หอมอร่อยและความหวานกำลังดีดังกล่าวมารวมไว้ในไอศกรีมแท่ง และได้มีการวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว สร้างกระแสความน่าสนใจได้เป็นอย่างดีสำหรับสาวกคิทแคทและไอศกรีมเนสเล่รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมอีกด้วย
จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ Collaboration Marketing หากทั้ง 2 แบรนด์
มีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนรวมถึงการพิจารณาถึงองค์ประกอบของรายละเอียดดังที่กล่าวไปแล้วและมาถูกทางก็จะกลายเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาฐานลูกค้าเก่า หรือการเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และที่สำคัญยังได้เป็นการช่วยปิดจุดอ่อนโดยใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายที่มีความถนัดแตกต่างกันมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้กันและกันอีกด้วย
ซึ่งการวัดผลของความสำเร็จของกลยุทธ์
Collaboration Marketing
นี้ก็สามารถวัดผลได้โดยดูจากกระแสที่เกิดขึ้นจากผู้บริโภค
และยอดขายที่เข้ามาสู่แบรนด์ที่ทำการ Collab นั่นเอง
#การตลาด 101
..................................
ติดตามประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจหรือ เสนอแนะ ติชม ได้ที่
Facebook https://www.facebook.com/Marketing101th
Blockdit:https://www.blockdit.com/marketing101
email : mktg_101@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น