วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

" Collaboration Marketing " ร่วมมือกันให้ปังกว่าเดิม

            ในปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นได้ว่ามีหลายบริษัท ได้นำกลยุทธ์ Collaboration Marketing หรือเรียกสั้นๆ ว่าการ Collab  มาใช้ในทางธุรกิจกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันเพื่อออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการทำผลิตภัณฑ์ แบบ Limited Edition หรือการออกแคมเปญทางการตลาดเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายระยะสั้นหรือเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า เป็นต้น ซึ่งการทำ Collaboration Marketing นี้นอกจากจะเป็นแคมเปญทางการตลาดที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่จับมือกันสร้างสรรค์งานใหม่ๆจนเป็นกระแสความสนใจจากกลุ่มผู้ที่สนใจทั่วไปและกลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ที่ Collab กันทำให้เกิดการขยายฐานของลูกค้าและยังสามารถสร้างยอดขายรวมถึงภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์สินค้าหรือบริการของทั้ง 2 แบรนด์กันอีกด้วย


เข้าใจกลยุทธ์ Collaboration Marketing 

      กลยุทธ์ Collaboration Marketing  คือความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ที่สร้างสรรค์งานใหม่ๆในตลาดร่วมกันสามารถทำได้ทั้งกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือต่างประเภทอุตสาหกรรมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการร่วมมือกันของทั้ง 2 แบรนด์ต้องมีความชัดเจน  ว่าต้องการทำเพื่ออะไร และอยากให้เกิดอะไร นอกจากนี้พันธมิตรที่จะทำการ Collab ร่วมกันก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจและมีเป้าหมายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละแบรนด์นั้นจะต้องมีความเข้ากันได้ของแต่ละแบรนด์ด้วย ก็จะทำให้การทำงานร่วมกันของทาง 2 แบรนด์ง่ายยิ่งขึ้นและได้ผลลัพธ์ของมาดีตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้  


Collaboration Marketing ได้ประโยชน์อย่างไร

       1.สร้างการรับรู้ในวงกว้างได้ดี (Brand awareness)

จะเห็นได้ว่าหลายแบรนด์ที่ทำการ Collab กันในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ที่สนใจและลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ได้เป็นอย่างดี และสามารถสร้างกระแสของตลาดและทำให้เกิดกการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นอีกด้วย

 

2.ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น (Customer Extension) 

การ Collab ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าจากแบรนด์หนึ่งไปอีกแบรนด์ หรือเป็นการแลกเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าระหว่างแบรนด์ และดึงดูดกลุ่มผู้ที่มีสนใจในการแบรนด์สินค้าบริการที่ Collab กัน ทำให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ใหญ่ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะนำมาซึ่งยอดขายเช่นกัน


    3.ทำให้แบรนด์ดูทันสมัยขึ้น (Brand Image)                                 

    การ Collab เป็นการทำให้แบรนด์ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขี้นแบรนด์ไหนที่ที่มีภาพลักษณ์ที่มีมานานต้องการปรับตัวเองให้ดูทันสมัยหรือสร้างความแตกต่าง การ x กับแบรนด์ไหนสักแบรนด์นับว่าเป็นการสร้างความแตกต่างที่มีมาแต่เดิมได้เป็นอย่างดี หรือ ก็คือการทำให้ Brand Image มีการเปลี่ยนไปนั่นเอง


     4. สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค (Customer Experience)  

การ Collab นอกจากจะเป็นการสร้างความน่าสนใจและการขยายกลุ่มลูกค้าในวงกว้างแล้วยังเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีให้กับผู้บริโภคอีกด้วย  เช่น ได้รูปแบบของสินค้าหรือบริการใหม่ๆ หรือเมนูรสชาติอาหารหรือเครื่องดื่มใหม่ๆ ที่ทำให้ไม่จำเจน่าเบื่อ เป็นต้น 


ตัวอย่างการทำ Collaboration Marketing ที่น่าสนใจ



1.Kbank x Blackpink

เป็นความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ที่สร้างสรรค์งานใหม่ๆ ในตลาดร่วมกันต่างประเภทอุตสาหกรรมกัน แคมเปญของธนาคารกสิกรไทยที่ต้องการขยายฐานจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยการดังเอากลุ่มนักร้อง KPOP ระดับโลกอย่าง Blackpink มาทำการ Collab โดยการออกผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต สามารถสรา้งความสนใจให้กับเหล่าแฟนคลับของ Blackpink ได้เป็นอย่างดี โดยแคมเปญนี้ติดยอดกระแสนิยมอันดับหนึ่งใน Twitter ทันทีทีมีการปล่อยออกมา 




2. Moo xNanyang Sneakers รองเท้าผ้าใบนักเรียนสู่สตรีมแฟชั่น

เปนการจับมือร่วมกันข้ามประเภทอุตสาหกรรม โดยแบรนด์ "Moo" เป็นแบรนด์ของดีไซน์เนอร์แนวหน้าของเมืองไทย คุณหมู ASAVA ร่วมมือกับรองเท้าผ้าใบในตำนาน "นันยาง" ในการสร้างโปรเจกต์ Moo x Nanyang Sneakers โดยควมร่วมมือนี้ทำให้ได้เห็นการนำรองเท้านันยางมาปรับโฉม ปรับสีสันให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้นและเป็นการแตกไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์นอกเหนือจากการเป็นรองเท้านักเรียน ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้นอีกด้วย 




3. เวเฟอร์ช็อกโกแลตคิทแคท x ไอศกรีมเนสเล่ ที่คอไอศกรีมห้ามพลาดเป็นการจับมือระหว่างแบรนด์ คิทแคท เวเฟอร์ช็อกโกแลตที่หลายๆคนชื่นชอบในรสชาติที่ถูกปากคนทั่วโลกกับไอศกรีมเนสเล่ ซึ่งทางบริษัทเนสเล่ ในประเทศ ออสเตรเลีย ได้เปิดตัวความหอมหวานอันแสนเย็นฉ่ำกับ “คิทแคท ไอศครีม สติ๊ก” ที่นำเอาจุดเด่นความอร่อยทุกอย่างของเวเฟอร์ช็อกโกแลตและไอศกรีมวลิลาจากเนสเล่ ซึ่งให้รสชาติที่หอมอร่อยและความหวานกำลังดีดังกล่าวมารวมไว้ในไอศกรีมแท่ง และได้มีการวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว สร้างกระแสความน่าสนใจได้เป็นอย่างดีสำหรับสาวกคิทแคทและไอศกรีมเนสเล่รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมอีกด้วย

 

           จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ Collaboration Marketing  หากทั้ง 2 แบรนด์ มีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนรวมถึงการพิจารณาถึงองค์ประกอบของรายละเอียดดังที่กล่าวไปแล้วและมาถูกทางก็จะกลายเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาฐานลูกค้าเก่า หรือการเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และที่สำคัญยังได้เป็นการช่วยปิดจุดอ่อนโดยใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายที่มีความถนัดแตกต่างกันมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้กันและกันอีกด้วย ซึ่งการวัดผลของความสำเร็จของกลยุทธ์ Collaboration Marketing นี้ก็สามารถวัดผลได้โดยดูจากกระแสที่เกิดขึ้นจากผู้บริโภค และยอดขายที่เข้ามาสู่แบรนด์ที่ทำการ Collab นั่นเอง

 

                                                              #การตลาด 101 

 

 ..................................

ติดตามประเด็น บทความ เนื้อหาสาระอื่นๆที่น่าสนใจหรือ เสนอแนะ ติชม ได้ที่ 

Facebook https://www.facebook.com/Marketing101th 

Blockdit:https://www.blockdit.com/marketing101 

email : mktg_101@hotmail.com


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น