วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Data Driven Marketing กุญแจสำคัญสำหรับการทำตลาดในยุคนี้

 


         ในยุคที่เทคโนโลยีต่างๆ ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคเป็นอย่างมากและทำให้พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความต้องการสินค้าหรือบริการเฉพาะบุคคลมากขึ้น ยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกในการรับสื่อได้หลากช่องทางตามความต้องการและมีรูปแบบสื่อที่พบเห็นเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งนักการตลาดจำเป็นต้องอาศัย ข้อมูล (Data) ในการนำมาใช้ในการทำกาตลาดยุคใหม่ เพื่อให้เข้าถึงความต้องการและโดนใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น  Data Driven Marketing  จึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดตลาดที่หลายธุรกิจกำลังนำมาใช้กันอย่างมาก เพื่อวางกลยุทธ์และให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ


Data Driven Marketing คืออะไร

        Data Driven Marketing คือการทำการตลาดด้วยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data) ที่เราเก็บได้จากกลุ่มลูกค้าที่มีต่อสินค้าหรือบริการในช่องทางต่างๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ (Data Analytics) เพื่อหา Insight เช่น พฤติกรรม การมีส่วนร่วม ความชอบ แรงจูงใจที่ทำให้เกิดการซื้อหรือใช้บริการ เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ในการวางกลยุทธ์หรือการทำกิจกรรมทางการตลาด การพัฒนาสินค้าใหม่หรือบริการใหม่ การทำแคมเปญโฆษณา ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และนำไปสู่เป้าหมายทั้งยอดขายและกำไรทางธุรกิจทางธุรกิจที่วางไว้


Data – Driven Marketing ส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างไร


1.ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้มากยิ่งขึ้น

        ข้อมูลที่ได้มาหากนำมาวิเคราะห์ก็จะสามารถทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ในเชิงลึกว่า ลูกค้ามีความต้องการอะไร มีพฤติกรรมต่อการเลือกซื้อหรือใช้บริการอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลต่างๆมาต่อยอดในพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ได้ตรงใจลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงได้มากยิ่งขึ้น (Personalization)  รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ในการโปรโมทสินค้าและบริการ การเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มคน และช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มป้าหมายที่จะกลายมาเป็นลูกค้าในอนาคต รวมทั้งการทำให้ลูกค้าปัจจุบันกลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty)ได้อีกด้วย



2. สามารถนำมาใช้ในกรวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

        นอกจากการทำให้เราเข้าใจ Insight ของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นแล้ว หากนักการตลาดสามารถวิเคราะห์ และวัดผลลัพธ์จาก Data ได้เป็นจำนวนมาก ก็จะยิ่งทำให้เราวางแผนตัดสินใจในการทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เร็วยิ่งขึ้น เช่น การใช้กลยุทธ์การตลาดของธุรกิจที่มีกลุ่มลูกค้าที่ต่างกันในแต่ละภูมิภาค หรือพฤติกรรมการซื้อสินค้าในแต่ละช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกันอาจจะจัดทำขนาดบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่มีความแตกต่างกันตามความต้องการใช้งานของลูกค้าในช่องทางนั้นๆ และจัดทำสื่อโฆษณาที่ใช้ไม่เหมือนกันในแต่ละภูมิภาคเพื่อให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในแบบเฉพาะเจาะจงได้แม่นยำขึ้น ซึ่งก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้ธุรกิจของคุณ จากการนำ Data มาใช้ในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่เหนือกว่า เป็นต้น   


3 ช่วยพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น  

         การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นสิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของเราได้ เพราะฉะนั้น การใช้ Data มาวิเคราะห์จะช่วยทำให้เรารู้ Feedback ของลูกค้าจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดเวลา ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถนำมาวางแผนในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตรงใจกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น  เช่น สมมติว่าเรามีธุรกิจขายกระเป๋าออนไลน์  นอกจากข้อมูลลูกค้าที่สนใจกระเป๋าของเราแล้ว เรายังสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ สีสัน ของกระเป๋าที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มที่เข้ามาเยี่ยมชมสินค้า  ได้และสามารถคาดการณ์ถึงรูปแบบ สีสัน ของกระเป๋าที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มต้องการ รวมถึงการรับฟังข้อคิดเห็นของลูกค้า มีสิ่งไหนที่ลูกค้ายังอยากให้เราปรับปรุงเพิ่มเติม ก็การสามารถนำมาพิจารณาเพื่อใช้ในการวางแผนต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆของธุรกิจในอนาคต รวมถึงการนำมาพัฒนาเรื่องคอนเทนต์และรูปแบบของสื่อโฆษณาเฉพาะกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย


 4.รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า  

         เนื่องจากลูกค้ายุคดิจิทัล จะมีพฤติกรรมค้นหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ได้ยึดติดในแบรนด์  แต่จะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองตนเองได้ดี  ดังนั้นการทำการตลาดจำเป็นต้องอาศัย Data ในการวางกลยุทธ์เพื่อดูแลลูกค้าเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าประจำ ด้วยการวิเคราะห์ Insight ของลูกค้าจากช่องทางต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่า โฆษณา และเนื้อหาแบบแบบไหนตรงใจสำหรับลูกค้า รวมทั้งการจัดทำสื่อต่างๆ และการติดต่อลูกค้า เช่น Email Marketing และรับการ Feedback จากลูกค้า ผ่านหน่วยงาน Customer Service ที่รับปัญหาและช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าก็เป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้าอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการนำ  Data ที่ผ่านการวิเคราะห์มาใช้งานจะช่วยให้เราสามารถดูแลลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น


                                       #การตลาด101 

 

 

 


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Influencer Marketing เลือกให้โดนและทำให้ปังได้อย่างไร

 

      

      ในปัจจุบันนี้ หลายธุรกิจต่างมีการแข่งขันที่สูงและผู้บริโภคเองก็มีพฤติกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น การสื่อสารรวมถึงการติดตามข่าวสารต่างๆ ส่วนใหญ่จะผ่านทาง Social Media มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram ,YouTube ,Twitter,  Line เป็นต้น  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดจำเป็นต้องหาวิธีการต่างๆในการทำให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักและทำให้ผู้บริโภคเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆให้ได้มากที่สุด  Influencer Marketing จึงได้เข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดในยุคนี้เป็นอย่างมาก

      Marketing 101 จึงพามาผู้อ่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Influencer Marketing และหลักการพิจารณาเลือกบุลคลหรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดให้กับผู้อื่น (Influencer) อย่างไรให้โดนและทำให้ปังได้อย่างไรกันนะครับ


            


Influencer Marketing คืออะไร

      Influencer Marketing หรือ การตลาดแบบใช้บุคคลผู้มีอิทธิพลที่สามารถสร้างแรงจูงใจหรืออิทธิพลทางความคิดให้กับผู้อื่นได้  ซึ่งในปัจจุบันได้มีการใช้ Influencer Marketing กันเป็นอย่างมากในการนำเสนอสินค้าหรือบริการผ่านการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบของการรีวิวการใช้  ภาพสินค้าบริการ หรือ VDO Clip ตามสไตล์ของ Influencer ในแง่มุมต่างๆผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Facebook , YouTube , Instagram , Twitter , Tiktok ซึ่งคนเหล่านี้จะมีผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่าฐานแฟนคลับ ที่คอยสนับสนุน (ดูได้จากความนิยมของจำนวนผู้ติดตามของ Influencer) ทำให้เวลาที่ Influencer โปรโมทสินค้าหรือบริการต่างๆ ก็จะทำให้แบรนด์สินค้าหรือบริการเกิดการจดจำได้อย่างรวดเร็วและกลุ่มแฟนคลับก็มีแนวโน้มจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากขึ้น





6 หลักการพิจารณา Influencer ให้โดนและทำให้ปัง

1.กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน

         ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการใช้ Influencer ให้ชัดเจน ว่าเราต้องการนำเสนอสินค้าหรือบริการการกับใคร ต้องการให้สินค้าบริการของเรานั้นตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องใด รูปแบบการนำเสนอควรเป็นแบบใด เช่น ต้องการสร้างให้เกิดการรับรู้ (Awareness) ในวงกว้าง หรือต้องการนำเสนอเนื้อหา ของสินค้าหรือบริการที่มีความเข้มข้นในรายละเอียดเพื่อสร้างลูกค้าเกิดความมั่นใจ เป็นต้น เมื่อเรามีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว จึงพิจารณา Influencer ที่เหมาะสมและมีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ


2.ภาพลักษณ์ของ Influencer

          ควรพิจารณาเลือก Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีข่าวด้านลบ และมีบุคลิกที่สอดคล้องเข้ากันได้กับภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าหรือบริการของธุรกิจ ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูน่าไว้วางใจ ไม่มี Comment เชิงลบจากลูกค้าตามมาภายหลัง


3.ผลงานของ Influencer ที่ผ่านมา

            เพื่อดูว่า Influencer ที่กำลังพิจารณาเลือก มีแนวทางในการทำงานสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสินค้าหรือบริการที่ตั้งไว้หรือไม่ รูปแบบของเนื้อหาของผลงานของ Influencer ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ติดตามมากน้อยเพียงใด การนำเสนอสินค้าหรือบริการนั้นมีความชัดเจนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่ เป็นต้น ก็จะสามารถช่วยทำให้การพิจารณาเลือก Influencer ที่มีความเหมาะสมกับงานได้ดียิ่งขึ้น


4.จำนวนผู้ติดตามของ Influencer ในแต่ละช่องทาง

         Influencer นั้นจะมีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Instagram หรือ YouTube ก็ตาม ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์ม ก็อาจจะไม่ได้มียอดผู้ติดตามสูงเสมอไป บางคนยอดผู้ติดตามใน Instagram สูง บางคนยอดผู้ติดตามใน YouTube สูง หรือบางคนมียอดใน Facebook สูง ดังนั้นจึงควรเลือก Influencer ที่มีความเหมาะสมกับสินค้าและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทั้งไว้  และไม่ควรพิจารณา Influencer จากยอดผู้ติดตามสูงเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาจากยอดแชร์หรือการถูกพูดถึง ยอด Reach กับ Engagement การมีส่วนรวมของผู้ติดตาม จึงเป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการพิจาณาเลือก Influencer ด้วย


5. รูปแบบและวิธีการนำเสนอของ Influencer  

         Influencer แต่ละคนนั้นมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน เราจึงต้องพิจารณาความเชี่ยวชาญของ Influencer รวมถึงรูปแบบของเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าบริการที่ต้องการ เช่น คนนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่เก่ง คนนี้มีการถ่ายภาพที่สวย คนนี้เป็นผู้นำเทรนด์ด้านแฟชั่น คนนี้ทันสมัยติดตามข่าวสารได้ไว เป็นต้น และหากเราเลือก Influencer ที่ต้องการได้แล้ว ควรให้ Influencer ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นๆ นำเสนองานตามสไตล์ ภายใต้วัตถุประสงค์ที่เราต้องการและแจ้งข้อหลีกเลี่ยงต่างๆ ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เพื่อให้ Influencer สารถนำเสนองานได้อย่างเต็มที่เพื่อเกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี


6. งบประมาณที่เหมาะสม

        การพิจารณาเลือก Influencer ซึ่งบางคนมีผู้ติดตามมาก จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย และไม่ได้การันตีผลลัพธ์ว่าจะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะมาซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากขึ้น ฉะนั้นควรคัดเลือก Influencer และกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ไม่มากจนเกินไป ให้อยู่ในกรอบที่ไว้เพื่อดูผลลัพธ์และหากได้ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ให้พิจารณาปรับปรุงแผนงานเพิ่มเติมได้ในภายหลัง

 

        ซึ่งการใช้ Influencer Marketing ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น นอกจาก 6 หลักการพิจาณา Influencer ข้างต้นแล้ว หากเราวางกลยุทธ์ในการใช้ Influencer ให้ ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลา ก็จะช่วยทำให้แบรนด์สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักได้มากขึ้นและสามารถสร้างให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเกิดการตัดสินใจซื้อได้ในที่สุด ลองนำไปใช้กันดูนะครับ:D


                                                                   การตลาด101